จักรพันธ์ แก้วพรม ผู้เล่นไทยที่ประสบความสำเร็จบนเวทีลีกไทยมากที่สุด ได้ออกมาประกาศแยกทางกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดที่อยู่ค้าแข้งด้วยกันมายาวนาน 11 ปี เรียบร้อยแล้ว เขาเข้ามาในวันที่สโมสรยังไมมีอะไร สู่แข้งระดับตำนานของ “ปราสาทสายฟ้า” บอลไทย
เส้นทางสร้างตำนานของ จักรพันธ์ แก้วพรม
“โน๊ต” จักรพันธ์ แก้วพรม เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2531 ปัจจุบันอายุ 34 ปี เป็นชาวจังหวัด บุรีรัมย์ โดยเขาเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร บีอีซี เทโรศาสน หลังจากค้าแข้งอยู่ได้ 2 ฤดูกาล ก็ย้ายไปร่วมทีม เมืองทอง ยูไนเต็ด เขาอยู่กับ “กิเลนพยอง” ได้เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะย้ายมาจังหวัดบ้านเกิดค้าแข้งกับโครตทีมแห่งแดนอีสาน “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
เส้นทางของ “เจ้าโน๊ต” ในสีเสื้อบุรีรัมย์เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 2554 โดยเขาตัดสินใจย้ายจาก เมืองทอง ยูไนเต็ด แชมป์ลีกปีล่าสุด(2553) เพื่อมาเริ่มเล่นให้กับจังหวัดบ้านเกิดที่เป็นทีมหน้าใหม่ ซึ่งฤดูกาลนั้นเขาก็ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกกับ บุรีรัมย์ พีอีเอ ได้ทันที หลังจากนั้นเขาก็ค้าแข้งอยู่กับบ้านเกิดมาเป็นเวลายาวนานถึง 11 ปี มีส่วนสำคัญสร้างให้ บุรีรัมย์ ผงาดขึ้นมาเป็นสโมสรอันดับหนึ่งของเมืองไทย
จักรพันธ์ แก้วพรม ทิ้งสถิติไว้เบื้องหลังเอาไว้มากมายทั้ง เป็นผู้เล่นไทยที่คว้าถ้วยแชมป์ได้มากที่สุด 28 โทรฟี่ โดยความสำเร็จหลักๆ คือการคว้าแชมป์ไทยลีก ไปได้มากถึง 8 สมัย (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 7 สมัย, เมืองทอง ยูไนเต็ด 1 สมัย) พร้อมแชมป์เอฟเอ คัพ 5 สมัย และการคว้าแชมป์ลีก คัพ ได้อีก 6 สมัย เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้เล่นที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีฤดูกาลที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ถึง 4 หนอีกด้วย
ด้านรางวัลส่วนตัว มิดฟิลด์รายนี้เคยได้รับเลือกให้ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของไทยลีกประจำฤดูกาล 2560

สำหรับสไตล์การเล่น เจ้าของเสื้อหมายเลข 10 บ่งบอกได้ถึงความเป็นผู่เล่นคนสำคัญในตำแหน่งมิดฟิลด์ เขาเป็นนักเตะที่โดดเด่นเรื่องการสร้างสรรค์โอกาสให้กับทีม และมีจังหวะการวางเท้าที่ค่อนข้างดี นอกจากนี้ยังมีความดุดันขยันวิ่งเพรสซิ่งใส่คู่แข่งอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้มีช่วงที่เขามักจะโดนถอยไปเล่นตำแหน่งแบ็ค ผลงานก็ยังออกมาดี เนื่องจากความขยันในการไล่บอก และการครอสบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษที่แม่นยำ
หัวใจที่ไม่ยอมแพ้
แม้จะนำหน้าคู่แข่งครองลีกไทยได้อย่างยาวนาน แต่ใช่ว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะไม่มีช่วงที่ฟอร์มดรอปลงไป ระหว่างฤดูกาล 2562 และฤดูกาล 2563-64 ทีมปราสาทสายฟ้าไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆในประเทศได้เลย 2 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่ปี 2554 ที่ จักรพันธ์ ย้ายเข้ามาร่วมทีม
โดยช่วงเวลาดังกล่าวก็มีเสียงพูดถึงกัปตันทีมที่เข้าสู่วัยโรยรา และยังบาดเจ็บอู่บ่อยครั้งในช่วงหลังว่าหมดเวลาของเขากับทีมระดับท็อปของประเทศแล้ว ในฤดูกาล 2562 “เจ้าโน้ต” ได้ลงสนามไปเพียง 9 เกม(ตัวจริง 3 เกม) เท่านั้น และยังยิงประตูไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว
มาถึงฤดูกาล 2563-64 ช่วงแรกเขาก็ยังไม่มีโอกาสลงเล่นกับทีม ซึ่งผลงานของทีม “เซาะกราว” ยังคงตกต่ำลงไปอยู่ช่วงกลางตารางคะแนน แต่การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมมาเป็น อเล็กซานเดร์ กาม่า นายใหญคนใหม่หน้าเก่าที่คุ้นเคยกับทีมดี ซึ่งในอดีตสมัยที กาม่า พาทีมยิ่งใหญ่ จักรพันธ์ เป็นหนึ่งในผู้เล่นคีย์แมน นอกจากนี้ด้วยพลังที่ไม่ยอมแพ้ฟิตซ้อมร่างกายอยู่ตลอดเวลา เมื่อโอกาสลงสนามอีกครั้งมาถึงฟอร์มของคนแก่ที่ใครหลายๆคนปรามาสก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ฤดูกาลดังกล่าว “เจ้าโน้ต” ทำไปได้ถึง 4 ประตู กับ 10 แอสซิสต์ พาต้นสังกัดทะยานขึ้นไปจบเป็นรองแชมป์หลังจบฤดูกาล
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องธรรมชาติของโลก เมื่อคลื่นลูกเก่าเริ่มหมดแรงก็จะมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ บุรีรัมย์ ทีมที่มีการแข่งขันภายในสูงที่สุดทีมหนึ่ง ต้องมีการผ่าตัดทีมใหม่เพื่ออนาคต ฤดูกาลล่าสุด(2564-65) แม้จะคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้ แต่ จักรพันธ์ กลับไม่ได้เป็นผู้เล่นตัวหลักของทีมอีกแล้ว เขามีโอกาสลงสนามให้ทีมในลีกเพีง 5 เกมเท่านั้น และสัญญาที่มีก็หมดลงหลังจบฤดูกาล แน่นอนอย่างที่รู้กันว่า เจ้าของเสื้อหมายเลข 10 ไม่ได้ต่อสัญญาฉบับใหม่กับสโมสร แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขากลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างให้จังหวัดบ้านเกิดกลายมาเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลไทย
“ถึงเวลาต้องกล่าวคำลา ขอบคุณนายเนวินและพี่ต่ายที่ให้โอกาสผมมารับใช้ทีมบ้านเกิดและดูแลอย่างดีตลอด ขอบคุณโค้ชและเจ้าหน้าที่ทีมทุกส่วนที่ตั้งใจทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถจนทีมประสบความสำเร็จ ขอบคุณแฟนบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สำหรับทุกเสียงเชียร์ ทุกแรงสนับสนุน”
“ช่วงเวลาที่ผมอยู่กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสนุกมากๆ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีทุกคนที่กล่าวมา แต่ผมคิดแล้วว่าถึงเวลาที่จะต้องไปเริ่มต้นเส้นทางใหม่ หวังว่าทุกคนจะเป็นกำลังใจให้ผมเช่นที่ผ่านมา สุดท้ายขอให้ทีมประสบความสำเร็จ ผมยังจะเป็นหนึ่งแรงใจที่คอยช่วยสนับสนุนทีม เพราะบุรีรัมย์ยังคงเป็นบ้านผมเสมอ” โพสอำลาของ “โน๊ต” จักรพันธ์ แก้วพรม
เกียรติประวัติกับสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
- ไทยลีก 7 สมัย : 2554, 2556, 2557, 2558, 2560, 2561, 2564-65
- เอฟเอ คัพ 5 สมัย : 2554, 2555, 2556, 2558, 2564-65
- ลีกคัพ 6 สมัย : 2554, 2555, 2556, 2558, 2559, 2564-65
- โตโยต้า พรีเมียร์คัพ 2 สมัย : 2557, 2559
- ไทยแลนด์แชมเปี้ยนคัพ 1 สมัย : 2562
- ถ้วยพระราชทาน ก. 4 สมัย : 2556, 2557, 2558, 2559
- แม่โขงคลับ แชมเปี้ยนชิพ 2 สมัย : 2558, 2559