บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ปิดฉากในรายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2022 ไว้เพียงรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังแพ้ให้กับ อุราวะ เรดส์ ทีมสุดแกร่งจากญี่ปุ่น แม้จะแพ้แบบเละเทะตกรอบ แต่ทัพ “เดอะ แรบบิท” ก็กลายเป็นหนึ่งในทีมประวัติศาสตร์ของไทยที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอดในรายการระดับเอเชีย เหมือนทีมอื่นๆที่ ballthai นำมาฝากกันในวันนี้
บีอีซี เทโรศาสน (เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2002-03)
ทัพ “มังกรไฟ” บีอีซี เทโรศาสน หรือชื่อปัจจุบัน โปลิศ เทโร เอฟซี ยุคนั้นถือว่ากำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรือง นักเตะภายในทีมเต็มไปด้วยผู้เล่นดีกรีทีมชาติไทยชุดใหญ่ สามารถพาตัวเองผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์รายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ
โดยรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาได้ลงเล่นที่สนามศุภชลาศัย ประเดิมเกมแรกด้วยการแบ่งคะแนนกับ คาชิม่า แอนท์เลอร์ ทีมแกร่งจากเจลีก(ญี่ปุ่น) ด้วยสกอร์ 2-2
เกมต่อมาเอาชนะ แดจอน ซิติเซน สโมสรจากเกาหลีใต้ 2-0 โดยเกมนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทย เมื่อ บีอีซี เทโรศาสน เป็นสโมสรแรกที่เก็บชัยชนะในรายการบอลถ้วยใหญ่สุดของทวีปเอเชียอย่าง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก
เกมปิดท้าย “มังกรไฟ” ปิดฉากด้วยการเฉือนเอาชนะ เซียงไฮ้ เสิ่นหัว ทีมดังจากจีน 2-1 ซึ่งชัยชนะนัดนี้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้ บีอีซี เทโรศาสน ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ได้สำเร็จ เขี่ย 3 ทีมแกร่งทั้ง คาชิม่า แอนท์เลอร์, แดจอน ซิติเซน และ เซียงไฮ้ เสิ่นหัว ตกรอบอย่างไม่น่าเชื่อ(สมัยนั้นผ่านเข้ารอบแค่ทีมเดียว) ผลงาน 7 คะแนนจาก 3 นัด เพียงพอให้ทีมจากไทยแลนด์จบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม
รอบรองชนะเลิศ : บีอีซี เทโรศาสน ยังคงร้อนแรงแบบหยุดไม่อยู่เปิดหัวมาด้วยการเปิดบ้านถล่มเอาชนะ ปาตากอร์ ทีมจาก อุซเบกิสถาน 3-1 แม้เกมเลกสองจะบุกไปพ่ายที่ ปัคห์ตากอร์ สเตเดี้ยม 1-0 แต่นั้นก็เพียงพอให้ “มังกรไฟ” บินทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ด้วยสกอร์รวมชนะ 3-2
รอบชิงชนะเลิศ : พลพรรค บีอีซี เทโรศาสน ต้องลงดวลกับ อัล ไอน์ ทีมดังจาก ยูเออี โดยรอบชิงดำในยุคนั้นยังคงใช้ระบบเหย้า-เยือน เกมเลกแรกพลาดท่าบุกไปแพ้ก่อน 2-0
แม้ในเลกสองที่ได้กลับมาเล่นในถิ่นราชมังคลากีฬาสถาน ทีมจากไทยจะเอาชนะได้ 1-0 แต่สกอร์ดังกล่าวไม่เพียงพอให้ไปถึงฝัน บีอีซี เทโรศาสน จบลงด้วยการเป็นรองแชมป์เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2002-03 แต่ผลงานนี้ถือเป็นการประกาศให้ทีมจากเอเชียรู้จักสโมสรจากประเทศไทย

เมืองทอง ยูไนเต็ด (เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2017)
ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นยุครุ่งเรืองของ “กิเลนผยอง” ภายใต้การคุมทัพของ “โค๊ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน ทีมดังจากย่านหนองจอกมีดีกรีเป็นแชมป์ไทยลีก ฤดูกาล 2016
ในรอบแบ่งกลุ่ม เมืองทอง เก็บมาได้ 11 คะแนน จากผลงาน ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 1 โดยพวกเขาเริ่มต้นด้วยการบุกไปเสมอ บริสเบรนด์ โรอาร์(ออสเตรเลีย) 0-0, จากนั้นมาเก็บชัยชนะนัดแรกได้ด้วยการเชือด คาชิม่า แอนท์เลอร์ ทีมจากเจลีก 2-1 เกมต่อมาพวกเขาบุกไปเสมอกับ อุลซาน ฮุนได ทีมจากเกาหลีใต้ 0-0
ทัพ กิเลนผยอง กลับมาเปิดบ้านเก็บชัยชนะได้สองนัดติดต่อกันเหนือ อุลซาน ฮุนได 1-0 และ บริสเบรนด์ โรอาร์ 3-0 แม้เกมสุดท้ายจะพลาดท่าบุกไปแพ้ คาชิม่า แอนท์เลอร์ 1-2 แต่แต้มที่เก็บมาได้เพียงพอให้ทีมแชมป์จากไทยผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์
มาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมืองทอง ยูไนเต็ด ผ่านเข้ามาดวลกับ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ทีมแกร่งจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งครั้งนี้ทีมจากไทยไม่สามารถต้านมานเอาไว้ได้ แพ้ทังสองเลกด้วยสกอร์ 4-1(เยือน) และ 1-3(เหย้า) ต้องจบเส้นทางเพียงรอบนี้

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2013)
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือ ทีมเดียวจากเมืองไทย ที่ผ่านเข้าถึงรอบน็อคเอาท์ของศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 2 สมัย และในปี 2013 พวกเขาก้าวผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 “ปราสาทสายฟ้า” ยังคงได้เป็นตัวแทนจากไทยในรอบแบ่งกลุ่มอีก 1 ปี หลังจากที่ครั้งแรกของพวกเขาในปี 2012 ต้องตกรอบแรก แต่ครั้งที่สองนี้ พวกเขาเริ่มต้นตั้งแต่รอบเพลย์ออฟ และสามารถผ่าน บริสเบรนด์ โรอาร์ จากออสเตรเลีย มาได้จากการดวลลูกโทษตัดสิน ก่อนจะถูกจับสลากให้อยู่กับกลุ่มสุดหินในรอบแบ่งกลุ่ม ต้องอยู่ร่วมสายกับ เอฟซี โซล (เกาหลีใต้), เจียงซู เสิ่นตี้ (จีน) และ เวกัลตะ เซนได (ญี่ปุ่น)
แต่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็จัดการหักปากกาเซียนทั่วทั้งทวีป เมื่อเก็บได้ถึง 7 แต้มจาก 6 เกม พร้อมผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร และเป็นทีมที่สองของไทย ต่อจาก บีอีซี เทโรศาสน หรือ โปลิศ เทโร เอฟซี ในปัจจุบัน
โดย 7 แต้มของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้มาจาก เสมอ เวลกัลตะ เซนได(ญี่ปุ่น) 1-1(เยือน), เสมอ เอฟซี โซล (เกาหลีใต้) 0-0(เหย้า), แพ้ เจียงซู เวินตี้(จีน) 0-2(เยือน), ชนะ เจียงซู เสินตี้ 2-0(เหย้า), เสมอ เวลกัลตะ เซนได 1-1(เหย้า) และ เสมอ เอฟซี โซล 2-2(เหย้า)
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย “เซราะกราว” โคจรมาพบกับศึกหนักอย่าง บุนยอดกอร์ ยอดทีมจากประเทศอุซเบกิสถาน แต่ บุรีรัมย์ ก็สร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ เมื่อเปิดบ้านเอาชนะไปได้ก่อน 2-1 ก่อนบุกไปยันเสมอได้ถึงถิ่น 0-0 ทำให้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ได้เป็นสมัยแรก
โดยรอบควอเตอร์ไฟน่อล บุรีรัมย์ ผ่านเข้ามาพบกับ เอสเตกาล ทีมชั้นนำจากประเทศอิหร่าน ก่อนที่จะพ่ายไปด้วยสกอร์รวม 2 นัด ที่ 1-3 โดยเกมแรก บุกไปแพ้มาก่อน 0-1 ตามด้วยการกลับมาแพ้ที่บ้านของตัวเอง 1-2 แต่นั่นก็ถือเป็นสุดยอดประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมของสโมสร ซึ่งจนถึงปัจจุบัน พวกเขาก็ยังไม่สามารถกลับไปสู่จุดนั้นได้อีกเลย
