“ช้างศึก” ทีมชาติไทย แพ้ให้กับ อุซเบกิสถาน 2-0 โดยเรามาเสียประตู 2 ประตู ภายใน 22 นาทีแรกของการแข่งขัน หลังจากนั้นก็ไม่สามารถทวงประตูคืนได้ การแพ้ให้ดับทีมระดับต้นๆของเอเชียเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่จากรูปเกมตลอด 90 นาที ที่ทีมชุดใหญ่ของเราเจอกับของจริง ไม่ใช่ตบเด็กอย่าง มัลดีฟ หรือ ศรีลังกา แทบไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่รู้สึกประทับใจกับฟอร์มการเล่นของนักเตะในสนาม รวมถึงการวางแท็กติกของกุนซือ มาโน่ โพลกิ้ง เกมนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เรายังต่างชั้นกับระดับเอเชีย และนี้คือปัญหาต่างๆที่ ballthai ได้เห็น
นักเตะ ทีมชาติไทย ขาดความฟิต
สภาพร่างกายที่แตกต่างเป็นสิ่งแรกที่เห็นได้หลังจากได้ดูการแข่งขัน 90 นาทีเต็ม ส่วนหนึ่งมากจากที่บรรดาแข้งตัวหลักหลายคนมาจากไทยลีก ที่ปิดฤดูกาลกันไปนานพอสมควร สภาพความฟิตของนักเตะจึงขาดช่วง แม้ทีมจะโดนนำเร็ว แต่ก็เร่งเครื่องกันไม่ขึ้น แต่จะอ้างเรื่องลีกปิดไปแล้วอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเรื่องสภาพความฟิตของผู้เล่นทีมชาติไทยค่อนข้างมีปัญหามาตลอด โดยเฉพาะนักเตะที่ค้าแข้งอยู่ในไทยลีก ต้องยอมรับว่าการฝึกซ้อมของทีมในบ้านเราความเข้มข้นยังแตกต่างกับทีมลีกชั้นนำของเอเชีย อุซเบกิสถาน แสดงให้เห็นว่าหากอยากก้าวขึ้นพ้นระดับอาเซียน ต้องมีสภาพความฟิตอยู่ที่ระดับใด
ความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นอีกจุด แน่นอนว่าด้วยกรรมพันธุ์ส่งให้ทีมไทยด้อยกว่าทีมจากโซนเอชียกลาง แต่เชื่อว่าหากเราสามารถใช้วิทยาศาสตร์เพื่อยกระดับให้ใกล้เคียงมากกว่านี้ได้กว่านี้ ภาพที่เห็นวันนี้คือแพ้แบบราบคาบ ไม่ใกล้เคียงที่จะเบียดไหล่ต่อไหล่กันได้เลย

โค๊ชเลือกตัวผู้เล่น และวางแท็กติกพลาด
การเจอกับ อุซเบกิสถาน ทีมอันดับที่ 11 ของเอเชีย และอันดับที่ 83 ของโลก ในเกมระดับเอเชียที่มีความจริงจังแบบเต็มร้อย ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบว่า “ช้างศึก” ชุดนี้มีความใกล้เคียงเพียงใด แต่แล้ว มาโน่ โพลกิ้ง นายใหญ่ของทีมชาติไทย ก็ทิ้งขว้างโอกาสเลือกที่จะพักผู้เล่นตัวเก่งบางคน และนักเตะบางคนที่ฟอร์มไม่ได้ดีก่อนหน้ากลับยังได้โอกาสลงสนาม
แท็กติกการเล่นที่เลือกเน้นรับไว้ก่อน แล้วใช้ปีกมายืนเป็นกองหน้าตัวเป้าเพื่อหวังใช้ความเร็วของผู้เล่นทำประตูจากเกมสวนกลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย แดนกลางยังคงเลือกใช้ 3 ผสานเดิมทั้ง สารัช อยู่เย็น, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล ทีมไม่มีผู้เล่นเพลย์เมกเกอร์ธรรมชาติเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นบอลจึงไม่มีบอลที่ทะลุทะลวงไปถึงแดนหน้าได้ ความเร็วของกองหน้าจึงไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
สปีดบอลสู้ไม่ได้
เกมนี้ไทยเป็นฝ่ายที่ได้ครองบอลเหนือกว่า แต่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทำได้แค่ส่งกันไปมา ไม่มีการเร่งสปีดเกมให้คู่แข็งต้องเจอกับงานยาก เรื่องความเร็วในการส่งบอลของเรายังห่างชั้นกับทีมในระดับเอเชียพอสมควร
ความแตกต่างเห็นได้ชัดๆจากจังหวะสวนกลับเร็วเกมนี้ อุซเบกิสถาน ตัดบอลได้ พวกเขามักจะเร่งสปีดการเข้าทำ พยายามพาบอลพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนเป็นจุดเริ่มต้นของ 2 ประตูที่ทำได้ในเกมนี้ และมีอีกหลายๆจังหวะที่สวนขึ้นมาแล้วมีโอกาสทองยิงประตูเพิ่ม
มาดูที่ทีมชาติไทย จังหวะที่ตัดบอลมาได้ แทบไม่มีผู้เล่นพุ่งขึ้นไปข้างหน้า ตัวเลือกในการส่งบอลจึงมีน้อย ทีมจึงต้องค่อยๆลำเลียงพาบอลขึ้นไปข้างหน้า และเมื่อแนวรับของคู่แข่งลงมาแพ็คเกมกันทันก็ทำได้เพียงส่งบอลกันวนไปมาอีกครั้ง

ผู้เล่นสำรองห่างชั้นกับตัวจริง
ทีมชาติไทยชุดนี้ยังไม่ใช้ผู้เล่นที่ดีที่สุด ยังขาดบรรดาแข้งตัวเก่งหลายรายที่ไม่ได้โดนเรียกตัวมาช่วยทั้งนักเตะที่รุ่นใหม่ที่ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ได้แล้ว แต่ต้องลงไปช่วยทีมชุด U23 เช่น ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร หรือนักเตะตัวเก่งที่ติดภารกิจกับสโมสรต่างประเทศอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ หรือ สุภโชค สารชาติ แน่นอนว่าหากมีพวกเขาเหล่านี้รูปเกมของ ทีมชาติไทย จะดีขึ้น ทว่ามันก็แสดงให้เห็นอีกมุมว่าหากทัพ “ช้างศึก” ขาดผู้เล่นตัวหลักบางคนไป ก็จะกลายเป็นทีมที่ไร้พลังทันทีได้เช่นกัน
นักเตะใจไม่สู้
เกมนี้ “ช้างศึก” ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลัง 2 ประตู ตั้งแต่นาทีที่ 22 ของเกม ยังมีเวลากว่า 1 ชั่วโมง ให้ตามทวงคืน แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นการเล่นแบบก้มหน้ายอมรับสภาพ เข้าใจว่าปัญหาไปได้ยากที่จะกลับมาชนะได้ เมื่อต้องเจอกับคู่แข่งที่เหนือกว่า และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นรอง แต่อย่างน้อยก็ควรจะแสดงให้เห็นถึงความใจสู้ออกมามากกว่า
ปัญหาเรื่องสภาพจิดใจเป็นอีกเรื่องที่ต้องปลูกฝังกันต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก กับทีมที่เป็นรองเรื่องสภาพร่างกายต่อคู่แข่งแทบทุกเกมที่ลงเล่น
บทเรียนที่ได้รับของ ทีมชาติไทย
เกมนัดส่งท้ายในศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ให้การบ้านกับพวกเรามาหลายข้อ ทั้งเรื่องที่ต้องไปปรับแก้เยอะแยะเต็มไปหมดทั้งเรื่อง สปีดความไวในการเล่นกับฟุตบอล, ความแกร่งของร่ายกาย, ความกล้าเล่น รวมไปถึงเรื่องของสภาพจิตใจ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะต้องได้รับการปูพื้นฐานมาจากระดับสโมสรก่อน ดังนั้นทีมในไทยลีกต้องมีการพัฒนาที่มากขึ้นกว่าเดิม ทางสมาคมต้องให้แรงจูงใจให้สโมสรต่างๆอยากจะพัฒนาเพื่อแข่งขันกันมากขึ้น
นอกจากนักเตะจะได้บทเรียนแล้ว ทางด้านกุนซือ มาโน่ โพลกิ้ง ก็น่าจะได้รับประสบการณ์เช่นกัน โค๊ชชาวบราซิล-เยอรมัน จำเป็นต้องมีความเคี่ยวเรื่องแผนการเล่นให้มากขึ้น และต้องเพิ่มแท็กติกต่างๆให้หลากหลายกว่านี้ หากต้องการพา ทีมชาติไทย ไปเทียบเคียงกับทีมระดับท็อปของเอเชีย
สมาคมฟุตบอลก็ต้องวางแผนจัดการเรื่องตารางแข่งขันเพื่อให้เกิดประโชยน์สูงสุดกับทีมชาติ ไม่ใช่อย่างในฤดูกาลนี้ที่มาปรับเปลี่ยนปฎิทินกระทันหันจนนักเตะปรับตัวไม่ทัน จนแทบไม่มีเวลาซ้อมร่วมกัน และเรียกความฟิตกันไมทันแบบนี้
ต้องบอกว่าโชคดีของ ทีมชาติไทย ที่การแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ครั้งนี้เจอกับงานเบา นอกจากเจ้าภาพ อุซเบกิสถานแล้ว เพื่อนร่วมกลุ่มทืมอื่นท้ัง มัลดีฟ และ ศรีลังกา ล้วนเป็นทีมที่เราเหนือกว่ามาก ดังนั้นจึงเก็บคะแนนผ่านเข้าไปสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ในรอบต่อไปคือของจริง กว่าจะลงสนามอีกครั้งในปีหน้า ยังพอมีว่าให้แก้ไขปัญหาต่างๆ แต่หากเรายังทำแบบเดิมๆ ไม่เอาบทเรียนที่ได้รับในเกมนี้มาปรับปรุงแก้ใข ก็คงทำได้เพียงแค่ภูมิใจว่าดีที่สุดในอาเซียนแค่นั้น เอ๊ะ! หรือตอนนี้จะโดนเวียดนามกันนะ
สำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งทวีปเอเชีย รายการ เอเซียน คัพ 2023 จะเริ่มต้นแข่งขันกันระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน – 16กรกฎาคม 2566 หรือในอีก 1 ปีต่อจากนี้